เครื่องปรับอากาศ
รูปเครื่องปรับอากาศ |
ในสมัยก่อนๆ มนุษย์ไม่รู้จักวิธีการที่จะเก็บรักษาอาหารไว้เผื่อในมื้อต่อๆไปได้ทำให้อาหารที่ผลิตได้ต้องสูญเสียไปมากหรืออาหารที่หามาได้ก็เช่นกัน
อาหารที่สูญเสียไปนี้ในทำนองบูด หรือเน่า และคุณค่าท่งอาหารจะลดน้อยลงด้วย
เช่นพวกมนุษย์สมัยก่อนล่าสัตว์มาได้มากน้อยเท่าใดก็จะนำมากินจนหมดหรือถ้าไม่หมดก็ต้องโยนทิ้งไปเสียและวันต่อไปก็ต่อหาเอาใหม่
เป็นอยู่อย่างนี้จนเห็นได้ว่ามนุษย์สมัยก่อน ๆ เท่านั้น ต่อมามนุษย์ฉลาดขึ้น
ก็พยายามขวนขวายหาวิชาการต่างๆที่จะทำการเก็บรักษาอาหารไว้
ให้ทนทานหรือให้นานและคงคุณค่าทางอาหารไว้ให้ดีที่สุด เพื่อเก็บไว้มื้อหน้าหรือยามขาดแคลน หรือเวลาที่ไม่สามารถออกไปหาอาหารินได้
เนื้อหาชุดการเรียนหน่วยที่ 11
- ความรู้เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ
- วงจรทางกลในเครื่องปรับอากาศ
- วงจรไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศ
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
เมื่อนักศึกษาผ่านการเรียนในหน่วยการเรียนนี้แล้วจะสามารถ
1. บอกลักษณะความรู้เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศได้
2. บอกลักษณะการทำงานของวงจรทางกลในเครื่องปรับอากาศได้
3. บอกลักษณะการทำงานของวงจรไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศได้
4. อธิบายการความรู้เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศได้
5. อธิบายการทำงานของวงจรทางกลในเครื่องปรับอากาศได้
6. อธิบายการทำงานของวงจรไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศได้
ความรู้เกี่ยวกับ
เครื่องทำความเย็นเบื้องต้น
ความร้อน (Heat)
ความร้อนเป็นพลังงาน(Energy)รูปหนึ่ง
ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปอื่นๆได้
ความร้อนอาจอธิบายได้ว่าเป็นผลจากการเคลื่อนที่ของโมเลกุล
ดังนั้นสสารทุกชนิดที่ประกอบขึ้นด้วยโมเลกุลก็จะต้องมีความร้อนอยู่ภายในตัวของมันเอง
การเคลื่อนที่ของความร้อน (Heat flow) นั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของความร้อน หรืออุณหภูมิ (Temperature)
โดยปกติแล้วความร้อนจะไหลหรือเคลื่อนที่จากสิงที่ร้อนกว่าไปยังสิ่งที่เย็นกว่า
ความเย็น (Cold)
ความเย็นเป็นคำที่ใช้สัมพันธ์กันกับความร้อนนั่นคือ
สิ่งใดก็ตามที่มีความร้อน เมื่อถูกดูดความร้อนออกไปหรือความร้อนเคลื่อนที่จากไปสิ่งของนั้นจะเย็นลงกลายเป็นความเย็นไป
พูดง่ายๆ คือ สิ่งใดที่มีอุณหภูมิต่ำถือว่าเป็นสิ่งนั้นเย็นดังนั้น
ในระบบการทำความเย็นถ้าต้องการทำสิ่งใดให้เย็นหรือให้เกิดความเย็นจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายความร้อนจากสสารนั้นอกไปแต่ในระบบเครื่องเย็นไม่ได้หมายความว่าทำลายความร้อนแต่จะดูดเอาความร้อนที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
เช่น ตู้เย็นจะดูดความร้อนจากอากาศ หรือของที่แช่ภายในตู้เย็นและส่งผ่าน(Transfer)ความร้อนออกไปทิ้งภายนอกตู้เย็น คือ
เครื่องควบแน่นหรือคอนเด็นเซอร์ หรือแผงร้อน(Condenser) หลังตู้เย็นนั่นเอง
อุณหภูมิ (Temperature)
อุณหภูมิ คือ ความเข้มของความร้อนหรือระดับความร้อนของสสาร
อุณหภูมิอย่างเดียวมาสามารถจะทราบปริมาณความร้อนได้แต่ถ้าอุณหภูมิจะบอกให้ทราบว่าสสารนั้นจะมีระดับความร้อนเท่าใด
ในทางทฤษฎีโมเลกุลของความร้อนกล่าวว่า
อุณหภูมิคือการวัดความเร็วของการเคลื่อนที่ของโมเลกุล
การวัดอุณหภูมิ(Temperature measurement)
การวัดอุณหภูมิเป็นการวัดชนิดหนึ่ง เรียกว่า เทอร์มอมิเตอร์(Thermometer) เทอร์โมมิเตอร์อาศัยหลักการทำงานโดยการอาศัยการขยายตัวของของเหลวที่จะทำให้เทอร์มอ มิเตอร์เช่นปรอท หรือแอลกอฮอล์
เทอร์มอมิเตอร์ประกอบด้วย หลอดแก้ว กระเปราะ และ
ของเหลวปรอท หรือแอลกอฮอล์
หน่วยของอุณหภูมิ
ที่ใช้ในระบบเครื่องทำความเย็นมี
2 หน่วยวัดคือ
1.องศาเซ็นเซียส(Celsius degree) เป็นหน่วยวัดอุณหภูมิในระบบเมตริก
แต่เดิมใช้เป็นองศาเซ็น ติเกรด(Centigrade)
ตามาเปลี่ยนเป็นเซ็นเซียส ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน อุณหภูมิที่เป็นองศา
เซ็นเซียส
จะมีจุดเยือกแข็งของน้ำหรือจุดน้ำแข็ง (Freezing
temperature of water) เป็น 0 C
และจะมีจุดเดือดของน้ำ(Boiling point water) เป็น 100C
2.องศาฟาเรนไฮต์ (Fahrenheit degree) เป็นหน่วยวัดอุณหภูมิในระบบอังกฤษและอเมริกัน
อุณหภูมิฟาเลนไฮต์จะมีจุดเยือกแข็งของน้ำเป็น 32F และมีจุดเดือดของน้ำเป็น
212 F
ตันของการทำความเย็น (Ton of
Refrigeration)
หน่วยที่นิยมใช้สำหรับหาปริมาณความร้อนขอระบบเครื่องทำความเย็นนั้นใช้
ตัน (Ton) คำว่า 1 ตันความเย็นนั้น
เป็นปริมาณความร้อนที่ใช้ในการละลายน้ำแข็ง 1 ตัน (2000 ปอนด์) ในเวลา 24 ชั่วโมง
น้ำแข็งหนัก
1 ปอนด์ ที่อุณหภูมิ 32 F ทำให้ละลายเป็นน้ำอุณหภูมิ
32 F จะต้องใช้ปริมาณความร้อน =144 x Btu./24 ช.ม.(ความร้อนแฝงการหลอมละลาย)
ถ้าน้ำแข็ง
2000 ปอนด์ต้องใช้ปริมาณความร้อน = 144 x 2000 Btu./24 ช.ม.
= 288000
Btu./24 ช.ม.
= 288000 Btu/hr
24 Btu/hr
นั่นคือ 1 ตัน ความเย็นจะมีค่า = 12000 Btu
การเคลื่อนที่ของความร้อน
(Heat Transfer)
ความร้อนสามารถจะเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ในระบบเครื่องทำความเย็นการส่งถ่ายความร้อนหรือความเย็นเป็นสิ่งจำเป็นมากเช่น
ในการทำสารให้เย็นก็ด้วย การดึงความร้อนออกจากสาร
การดึงความร้อนออกก็หมายถึงการถ่ายเทความร้อนออกนั่นเอง การส่งถ่ายความร้อนหรือการเคลื่อนที่ของความร้อนมี
3 วิธีคือ
1.โดยการชักนำ
(Conduction)
2.โดยการพา(Convection)
3.โดยการแผ่รังสี(Radiation)
โดยการชักนำ ความร้อนจากส่วนหนึ่งของสสารสามารถเคลื่อนที่ไปยังอีกส่วนหนึ่งของสาร
หรือเคลื่อนที่ไปสารอื่นที่ต่อเนื่องกันได้โดยการชักนำ และ
สารที่ชักนำความร้อนที่เคลื่อนที่ได้นั้นต้องมีคุณภาพเป็นตัวนำเช่น
การเผาเหล็กให้ร้อนทางด้านหนึ่งและจับอีกปลายด้านหนึ่งที่ไม่ได้ถูกเผาจะรู้สึกร้อน
ความร้อนที่ปลายอีกด้านหนึ่งนั้นเกิดจากการเคลื่อนที่มาจากด้านที่ร้อนกว่า
ความร้อนที่เคลื่อนที่ไปนี้เกิดจากการชักนำ
โดยการพา
เป็นหลักการที่ใช้การทำให้น้ำร้อน หรือทำให้อากาศร้อน
อากาศหรือน้ำจะเป็นอิสระในการหมุนเวียน ในหลักที่ว่าความร้อนจะเบาตัวลอยค้นสู่ที่สูง
ส่วนที่เย็นจะหนัก ลอยตัวต่ำลง จึงเกิดการเคลื่อนที่แล้วถ่ายเทความร้อนกันได้
ดังนั้น สิ่งใดที่อณูหรือโมเลกุลสามารถเคลื่อนที่ได้และเกิดการถ่ายเทความร้อนได้
เราเรียกว่าการพา ซึ่งมักเกิดในของเหลวและอากาศ
โดยการแผ่รังสี ได้แก่ การส่งกำลังความร้อนผ่าอากาศ
ในทำนองเดียวกันที่แสงส่องออกจากไฟฉายเนื่องจากความร้อนนับว่าเป็นพลังงานซึ่งมีคลื่นความร้อนอยู่ในย่านหนึ่ง
เช่นเดียวกับคลื่นแสงและแม่เหล็กไฟฟ้า